วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“มาเลย์” สั่งประหาร 24 คนไทยยัดโคเคนในครรภ์ส่งขายกรุงเทพฯ

กรมการกงสุลเผยศาลมาเลย์สั่งประหาร 20 นักค้ายาชาวไทย พบสาวเหนือ-อีสานถูกตุ๋นค้ากามในแดนเสือเหลืองเป็นพัน เตือนหญิงชายแดนใต้มีสิทธิ์เป็นเหยื่อค้ามนุษย์ เผยชีวิตรันทดสาวเหยื่อแก๊งไนจีเรียชวนเที่ยวต่างประเทศ ตีสนิทจนท้องแล้วยัดโคเคนในครรภ์ส่งกลับไทย              วันที่ 7 ก.พ.55  เมื่อเวลา 16.00 น. ที่โรงแรม บีพี แกรนด์ทาวเวอร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายสุวัฒน์ แก้วสุข ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อการดูแลคนไทยในต่างประเทศ ในการสัมมนานักจัดรายการวิทยุมุสลิมระดับภูมิภาค ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2555 มีนักจัดรายการวิทยุจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมประมาณ 80 คน
      
       นายสุวัฒน์กล่าวว่า กรมการกงสุลเคยบันทึกสถิติไว้ว่า มีคนไทยที่ไปติดคุกในประเทศมาเลเซียมากถึง 1,400 คน ในจำนวนนี้มีถึง 400 คนที่ถูกจับกุมข้อหามีสารเสพติดไว้ครอบครัว และ 24 คนถูกศาลมาเลเซียตัดสินประหารชีวิต
      
       ทุกวันนี้มีคนไทยเดินทางออกนอกประเทศทุกวัน โดยเป็นนักท่องเที่ยวกว่า 2,000,000 คน เดินทางไปตั้งรกรากในต่างประเทศทั่วโลกกว่าร้อยประเทศ รวม 1,000,000 กว่าคน และแรงงานกว่า 500,000 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานในโควตาของกระทรวงการต่างประเทศปีละ 100,000 คน
      
       นายสุวัฒน์กล่าวต่อว่า คนไทยในต่างประเทศจำนวนหนึ่งสร้างปัญหาซับซ้อนให้เจ้าของประเทศมาก เนื่องจากไปละเมิดกฎหมายต่างประเทศ แต่การช่วยเหลือและติดต่อขอให้ส่งตัวกลับประเทศไทย เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เพราะบางคนถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ซึ่งสำนักงานกงสุลไทยในประเทศเหล่านั้นเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้
      
       คนไทยที่มีพฤติกรรมชอบละเมิดกฎหมายต่างประเทศต้องระวังให้ ดี เพราะกฎหมายต่างประเทศเข้มแข็งกว่าไทย กรมการกงสุลไทยแทบจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ ตัวอย่าง 24 รายที่ถูกศาลมาเลเซียสั่งประหารชีวิต หลังจากจับได้ว่าค้ายาเสพติด กรมการกงสุลจะช่วยเหลือด้านคดียากมาก ถ้าไม่ใช่ครอบครัวผู้เสียหายจัดการเอง แต่หลายคนจะเข้าใจผิดคิดว่าสถานกงสุลไทยในต่างประเทศจะสามารถช่วยเหลือด้าน คดีได้นายสุวัฒน์กล่าวต่อและว่า
      
       ปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ตอนนี้ คือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยถูกหลอกไปใช้แรงงานในประเทศมาเลเซีย โดยมีนายหน้ามารับตัวไป แล้วส่งไปอยู่ตามร้านเสริมสวย สปา และส่วนมากถูกบังคับให้ค้าประเวณีด้วย บางรายถูกเจ้านายข่มขืนจนตั้งท้อง เนื่องจากกฎหมายมาเลเซียห้ามทำแท้ง ทำให้ต้องปล่อยให้คลอดลูกออกมา จึงยิ่งตอกย้ำให้ชีวิตในต่างแดนรันทดมากขึ้น
      
       “ปีที่ผ่านมามีสถิติที่ได้จากการร้องเรียนว่าถูกบังคับให้ขายบริการ ทางเพศเกินกว่า 1,000 ราย ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีอีกส่วนที่ยินยอมค้าประเวณี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ยังไม่ทราบชัดเจนว่า มีสาวมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ค้าประเวณีด้วยหรือไม่นายสุวัฒน์กล่าว และว่า ผู้ที่หลอกสาวไทยไปค้าประเวณีส่วนใหญ่มักเป็นผู้ใกล้ชิดหรือญาติสนิทที่ หลอกว่าจะหางานให้ทำในต่างแดน แต่เมื่อข้ามชายแดนไปแล้วจะมีผู้รอรับไปส่งยังสถานที่เป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารไทย หรือร้านสปานวดเท้า จึงขอให้ระวังตัวด้วย เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อาจจะประสบกับบุตรหลานของชาวจังหวัดชายแดนใต้ได้ เนื่องจากเดินทางไปฝั่งมาเลเซียบ่อย
      
       นอกจากนี้ยังมีหญิงไทยที่มักถูกแก๊งชาวต่างชาติหลอกให้ขนยา เสพติดข้ามประเทศทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเฉพาะจากหนุ่มชาวประเทศไนจีเรียที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยเฝ้า ติดตามมาระยะหนึ่งนั้น พบว่ามีการทำเป็นขบวนการที่ซับซ้อนและมีการกระทำทารุณต่อผู้หญิงที่ตกเป็น เหยื่ออย่างมาก
      
       โดยเส้นทางการลำเลียงยาเสพติดของชาวไนจีเรียจะมีการติดต่อสื่อสารกับ สาวไทยผ่านโปรแกรมแชตทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาวไทยจะรับสัมพันธ์ด้วยแม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน โดยชายชาวไนจีเรียกลุ่มนี้จะซื้อตั๋วเที่ยวต่างประเทศและโอนเงินให้สาวไทย ใช้หลายครั้งเพื่อให้เหยื่อตายใจ และเมื่อถึงขั้นสนิทสนมกันแล้วก็จะหลอกให้ส่งของกลับมายังประเทศไทย โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว หลังจากนั้นหนุ่มไนจีเรียจะข่มขืนเหยื่อจนตั้งท้องเพื่อให้สามารถส่งของผ่าน ด่านตรวจได้ง่ายขึ้น
      
       แก๊งค้ายาจะให้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์กลืนโคเคนเข้าไปในท้อง เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยก็จะให้เหยื่อถ่ายออกมา แล้วส่งต่อให้พ่อค้ายาเสพติดในประเทศไทยนายสุวัฒน์กล่าว
      
       โดยรายล่าสุดที่กรมการกงสุลสามารถช่วยเหลือมาได้ คือเหยื่อสาวไทยที่ถูกจับได้ในประเทศกัมพูชา และถูกศาลประเทศกัมพูชาตัดสินจำคุก 29 ปี แต่สาวไทยคนนี้คลอดลูกในเรือนจำที่นั่น ซึ่งสร้างความโกลาหลให้เจ้าหน้าที่กัมพูชามาก กรมการกงสุลจึงติดต่อขอตัวเด็กกลับมาจดทะเบียนเป็นคนไทยและส่งตัวให้สถานรับ เลี้ยงเด็กกำพร้าเลี้ยงดูต่อไป
       
       ข้อมูลจาก...อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ)

ไม่มีความคิดเห็น: