วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผู้ว่าฯ สงขลามอบเงินรางวัลนำจับมือวางระเบิดคาร์บอมบ์ลีการ์เดนส์ พลาซ่า


ผู้ว่าฯ จ.สงขลา มอบรางวัลนำจับ 5 แสน จนท. 3 หน่วยสามารถจับกุม เจะหมะ วานิหนึ่งในสามผู้ต้องหาลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ลี การ์เดนส์ พลาซ่า ขณะที่ แม่ทัพ ภ.4 มอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่ชุดสืบสวนปราบปราม ฉก.ตชด.43 ที่ตามแกะรอยมากว่า 7 ปี จนสามารถจับกุมมือระเบิด ด้าน ผบช.ภ.9 เตรียมพิจารณาค่าหัวรายละ 1 ล้าน ตามที่อดีต ผบช.ภ.9 คนก่อนเคยประกาศไว้       
       วันที่ 18 ก.พ.56 ที่ห้องประชุม สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการ จ.สงขลา พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุวิทย์ เชิญศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา มอบเงินสด จำนวน 5 แสนบาท ให้แก่กำลังเจ้าหน้าที่ 3 หน่วย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กลุ่มงานสืบสวนคดีสำคัญ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศชต. หน่วยเฉพาะกิจสงขลา และฝ่ายปกครองอำเภอเทพา ที่สามารถจับกุม นายเจะหมะ วานิ หนึ่งในสามมือวางระเบิดคาร์บอมบ์โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 31 มีนาคมปี 55 ได้ โดยนายเจะหมะ ถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะกบดานอยู่ที่บ้านเลขที่ 128 ม.5 ต.เทพา อ.เทพา จ.สงขลา
      
       โดยเงินสด จำนวน 5 แสนบาท เป็นเงินที่ภาคธุรกิจ และประชาชนชาว จ.สงขลา ช่วยกันบริจาคให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และทางจังหวัดได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากสามารถจับกุมมือวางระเบิดได้จะมอบเงินให้รายละ 5 แสนบาท โดยเงินจำนวนนี้ จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ มอบให้ตำรวจ 3 ส่วน ทหาร 2 ส่วน และฝ่ายปกครองอีก 1 ส่วน
      
       ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาค 4 ยังได้มอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปรามของหน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 อีก 2 นาย ที่มีส่วนร่วมในการจับกุม เจะหมะ วานิหลังจากที่ได้พยายามติดตามแกะรอยกลุ่มของ เจะหมะ วานิมาร่วม 7 ปี จนสามารถทราบเครือข่ายทั้งหมดและจับกุมได้ในที่สุด
      
       ทางด้าน พล.ต.ท.พิสิทฏฐ์ พิสุทธิ์ศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 เปิดเผยว่า ในส่วนของรางวัลนำจับผู้ต้องหาลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เดนส์ พลาสซ่า รายละ 1 ล้านบาท ที่ทางตำรวจภูธรภาค 9 ได้ประกาศไว้ในสมัยของ พล.ต.ท.จักร์ทิพย์ ชัยจินดา เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 9 นั้น จะติดตามในรายละเอียดนเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งเพราะเพิ่งมาดำรงตำแหน่งใหม่ แต่ก็พร้อมที่จะมอบให้เพื่อเป็นขวัญ และกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่
      
       นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการ จ.สงขลา เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีลอบวางระเบิด โรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่า หลังจากที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 1 คน คือ เจะหมะ วานิคดีนี้ยังเหลือผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับและยังหลบหนีอีก 2 คน คือ เสรี แวมามุและ รุสลัน ใบมะตามภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมลีการ์เดนส์ พลาซ่า บันทึกได้ และคำซัดทอดของนายเจะหมะ ซึ่งให้ความร่วมมือต่อเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
      
       โดยต้องการเรียกร้องให้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่แต่โดยดี ทั้งมอบกับตน นายอำเภอ หน่วยเฉพาะกิจสงขลา หรือผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สงขลา เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติความมั่นคง พ.ศ.2551 ซึ่ง จ.สงขลา เป็นจังหวัดเดียวในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่นำกฎหมายฉบับนี้มาใช้
      
       เนื่องจากตามมาตรา 21 จำเลย หรือผู้ต้องหาความมั่นคงที่เข้ามอบตัว และถูกนำตัวขึ้นศาลเมื่อศาลสั่งให้ไปฝึกอบรมเป็นเวลา 6 เดือน ก็จะไม่ต้องถูกดำเนินคดีอาญา หรือคดีความมั่นคง และระหว่างการฝึกอบรมก็ไม่มีฐานะเป็นผู้ต้องหา ไม่มีเครื่องพันธนาการ และญาติสามารถเยี่ยมได้ นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังมีเงินมอบให้อีกคนละ 5 แสนบาท ที่ภาคธุรกิจและประชาชนชาว จ.สงขลา ช่วยกันบริจาค เพื่อนำไปใช้ตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่หากทั้ง 2 คนไม่เข้ามอบตัว และถูกจับกุมได้ก็จะถูกดำเนินคดีอาญาตามกฏหมาย และเงิน 5 แสนบาท ก็จะมอบให้แก่เจ้าหน้าที่
โดย.. ASTV Manager ภาคใต้

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กากปิโตรเลียมขยายวงกว้างทั่วทั้งชายหาดสงขลา วอนหน่วยงานรัฐเร่งแก้ไขด่วน


พบกากของเสียสีดำคล้ายก้อนน้ำมันดิบถูกคลื่นซัดกระจายเกลื่อนชายหาดสมิหลาสงขลา และกำลังขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นเกือบทั่วทั้งชายหาด ทำลายทัศนียภาพการท่องเที่ยวอย่างยิ่ง วอน ทน.สงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาด่วน
      
       วันที่ 6 ก.พ.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กากของเสียสีดำคล้ายก้อนน้ำมันดิบในลักษณะเดียวกับที่พบในบนิเวณชายฝั่ง อ.ระโนด จ.สงขลา ถูกคลื่นชัดจากทะเลอ่าวไทยขึ้นมาบริเวณชายหาดแหลมสมิหลา อ.เมือง จ.สงขลา และขยายวงกว้างครอบคลุมเกือบทั่วทั้งชายหาด ตั้งแต่ชายหาดชลาทัศน์ ไปจนถึงปลายแหลมสนอ่อน ระยะทาง 5-6 กิโลเมตร ส่งผลให้บริเวณชายหาดเกิดความสกปรก เพราะกากของเสียดังกล่าวยังไปเกาะซากเปลือกหอย หรือสิ่งปฏิกูลอื่นๆ จนกลายเป็นแผ่นสีดำทำลายทัศนียภาพของชายหาดสมิหลาอีกด้วย
      
       โดยเฉพาะบริเวณรูปปั้นนางเงือก หาดสมิหลา และชายหาดชลาทัศน์ ซึ่งเป็นจุดที่ประชาชน และนักท่องเที่ยวนิยมไปพักผ่อน และเล่นน้ำ แต่ปรากฏว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวเลี่ยงที่จะลงไปเดินเล่นบริเวณชายหาด หรือลงเล่นน้ำเนื่องจากปัญหากากของเสียที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ โดยเมื่อโดนแสงแดดร้อนจะละลายเป็นของเหลวข้นคล้ายน้ำมันเครื่องติดมือติดเท้าไม่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ จะต้องใช้น้ำมันล้างจึงจะล้างออก
      
       โดยขณะนี้ บริเวณชายฝั่งทะเล จ.สงขลา ตั้งแต่ อ.ระโนด ลงไปจนถึง อ.เมืองสงขลา จะพบกากของเสียสีดำคล้ายก้อนน้ำมันดิบถูกคลื่นซัดขึ้นมาบริเวณชายฝั่ง ทำให้ชายหาดสกปรก ยิ่งในช่วงที่มีแดดร้อนจัด กากของเสียสีดำคล้ายก้อนน้ำมันดิบจะละลายทำให้ชายหาดสกปรกมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้เทศบาลนครสงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจพื้นที่ตลอดแนวชายหาดสมิหลาเพื่อหาทางแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

องค์กรอิสลามสงขลาระดมช่วย “โรฮิงญา” อย่างไม่คิดรังเกียจ




ชาวมุสลิมโรฮิงญาบางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวตามมัสยิดใน จ.สงขลา โดยมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา และชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันดูแลเป็นอย่างดี
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้อพยพชาวโรฮิงญา ว่า บรรยากาศที่มัสยิดญามิอุนมุตตากีน บ้านฉลุง ม.1 ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งใช้เป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวของชาวมุสลิมโรฮิงญา จำนวน 8 คน ที่ชาวบ้านได้ช่วยเหลือ หลังจากพลัดหลงอยู่ในป่าเทือกเขาแก้ว เขตรอยต่อสงขลากับสตูลนานกว่า 7 วัน มีชาวบ้าน และคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.สงขลา เข้าให้การช่วยเหลือ และดูแลเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของอาหารทั้ง 3 มื้อ เสื้อผ้า และที่หลับนอน
       ขณะที่บางคนมีอาการอ่อนล้า บางคนเริ่มป่วยจากการเดินทางไกล และอดอาหารมาหลายวัน ชาวบ้านทั้งหญิง และชายได้ช่วยกันบีบนวดโดยไม่รังเกียจ ขณะที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ได้จัดกำลังมาเฝ้าดูแลตลอดทั้งคืน จนกว่าทางฝ่ายตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ จะรับตัวไป
       ทางด้านการช่วยเหลือมุสลิมชาวโรฮิงญาทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีเกือบ 900 คนนั้น ทางคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.สงขลา มีมติหลังการประชุมกันในวันนี้เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือ โดยจะประสานไปยังอิหม่ามประจำมัสยิดทุกแห่งใน จ.สงขลา ให้เปิดรับบริจาคเงิน และสิ่งของจากประชาชนในพื้นที่ และนำไปรวบรวมที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.สงขลา เพื่อนำไปกระจายความช่วยเหลือให้แก่ชาวโรฮิงญาทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ
       อีกทั้งให้คณะกรรมการอิสลามแต่ละอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบประสานงานดูแลชาวโรฮิงญาที่ถูกส่งไปควบคุมตัวอยู่ในแต่ละอำเภอ ไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทางกฎหมาย พร้อมกับประสานขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ ที่ใช้คุมขังจัดสถานที่ในเรื่องของการปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะการละหมาด เนื่องจากหลายแห่งอยู่กันอย่างแออัด
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

ตร.ยึดพัสดุไปรษณีย์ซุกยาเสพติด 24 กล่อง




ตำรวจหาดใหญ่ และเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด ยึดกล่องพัสดุไปรษณีย์ 24 กล่อง ที่ศูนย์ไปรษณีย์หาดใหญ่ ซุกซ่อนใบกระท่อม และยาแก้ไอส่งไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
      
       
วันที่ 16 ม.ค.56  พ.ต.อ.อดิเรก บือราเฮง ผกก.สภ.หาดใหญ่ และ ร.ต.อ.สมร บุญไสว สว.กก.3 ปส.4 ตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ จำนวน 24 กล่อง ที่ถูกส่งมารวมไว้ที่ศูนย์ไปรษณีย์หาดใหญ่ จากการตรวจสอบพบว่า ภายในซุกซ่อนใบกระท่อมน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ยาแก้ไอขนาดต่างๆ 129 ขวด โดยกล่องพัสดุดังกล่าวถูกส่งมาจากศูนย์ไปรษณีย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ นครปฐม และสมุทรสาคร มีปลายทางกระจายอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จากการตรวจสอบชื่อที่อยู่ของทั้งผู้ส่ง และผู้รับพบว่าเป็นชื่อปลอม
      
       
โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยเฉพาะใบกระท่อม และยาแก้ไอ รวมทั้งยากล่อมประสาท เครื่องกระสุน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถประกอบระเบิดได้มาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ที่ศูนย์ไปรษณีย์หาดใหญ่ ซึ่งใช้วิธีการเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดกลุ่มเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนขยายผลต่อไป
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

ศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด ตร.ใช้ความรุนแรงสลายม็อบโรงแยกก๊าซจะนะ พิพากษาชดใช้ 1 แสน




ศาลปกครองสูงสุด ชี้ขาดกรณีตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุสลายการชุมนุมม็อบค้านโรงแยกก๊าซจะนะ หลังคดียืดเยื้อนาน 10 ปี ระบุ เป็นการชุมนุมโดยสงบ และเจ้าหน้าที่กระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจ่ายค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้อง 24 คน รวม 1 แสนบาท

            วันที่ 16 ม.ค.56  ที่ห้องพิจารณาที่ 2 ศาลปกครองจังหวัดสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ศาลปกครองจังหวัด ได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณีตำรวจสลายการชุมนุมของชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2545 ที่บริเวณถนนจุติอนุสรณ์ ใกล้โรงแรม เจ.บี.หาดใหญ่ หรือโรงแรมหรรษาเจบีในปัจจุบัน เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมบางส่วนถูกจับกุม ได้รับบาดเจ็บ รถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะได้รับความเสียหาย และไม่สามารถใช้เสรีภาพในการชุมนุมได้ต่อไป
      
       
โดยนายเจ๊ะเด็น อนันทบริพงศ์ ผู้ฟ้องที่ 1 กับพวก รวม 30 คน ได้ยื่นฟ้องสำนักงานตรวจแห่งชาติ จังหวัดสงขลา และกระทรวงมหาดไทย เรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุมตามมาตรา 40 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่บังคับใช้ในขณะนั้น ซึ่งศาลปกครองจังหวัดสงขลา และศาลปกครองสูงสุดมีคำสังรับฟ้องเฉพาะผู้ฟ้องคดีที่ 1-24 ในส่วนที่เรียกค่าเสียหายการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมเท่านั้น
            ทั้งนี้ ศาลปกครองจังหวัดสงขลาได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.426/2549 ซึ่งพิจารณาว่า การชุมนุมเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2545 ซึ่งชาวบ้านเตรียมยื่นหนังสือเสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ต่อนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมีกำหนดการเดินทางมาประชุม ครม.สัญจรที่โรงแรม เจ.บี.หาดใหญ่ ในวันที่ 21 ม.ค.2545 ว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ
      
       
ส่วนกรณีที่สำนักงานตรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ โดยระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวชุมนุมกันเกิน 10 คน มีผู้สั่งการอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการตระเตรียมอาวุธทั้งที่เป็นอาวุธ และมิใช่อาวุธโดยสภาพ ซึ่งสามารถตรวจยึดหนังสติ๊ก ลูกตะกั่ว กรรไกรปลายแหลม มีดสปาต้า และไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลม 175 อันนั้น ศาลพิจารณาเห็นว่า การชุมนุมโดยใช้สิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญย่อมกระทำโดยคนเดียวไม่ได้ และไม่ปรากฏว่า แกนนำมีการสั่งการให้กลุ่มผู้ชุมนุมสั่งสมอาวุธ
      
       
ในขณะเดียวกัน ศาลเห็นว่าหนังสติ๊ก ลูกตะกั่ว และมีดสปาต้านั้นถือว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ชุมนุม โดยเป็นอาวุธที่ผู้คัดค้านเตรียมมาเป็นการส่วนตัว มิได้มีการสั่งการจากแกนนำแต่งอย่างใด ส่วนไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมพบว่า ผู้ชุมนุมใช้เป็นเสาธง มิใช่อาวุธแต่เดิม แต่ได้ใช้เป็นอาวุธในเวลาต่อมาเมื่อตำรวจเข้าสลายการชุมนุม สำหรับการทำร้ายตำรวจ และทรัพย์สินของทางราชการนั้น เกิดจากการที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุม และทำร้ายผู้คัดค้านจนบาดเจ็บ
      
       
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า การชุมนุมของชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซ และโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2545 นั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบ และการที่ตำรวจเข้าสลายการชุมนุมโดยมิได้ดำเนินการตามหลักสากลคือ จากเบาไปหาหนักจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ชุมนุมไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพชุมนุมโดยสงบต่อไปได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องที่ 1) จึงต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ถูกฟ้องที่ 1-24 โดยกำหนดให้จ่ายค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องที่ 1-24 รวมกันจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
            นางสุไรด๊ะ โต๊ะหลี ชาวบ้านใน อ.จะนะ จ.สงขลา หนึ่งในผู้ฟ้องคดีกล่าวว่า วันนี้ ตนรู้สึกดีใจที่ชาวบ้านชนะคดี แต่เนื่องจากเวลายาวนานมาเป็น 10 ปีกว่าคดีจะสิ้นสุด จึงเป็นความดีใจที่แผ่วลงมาก การเรียกร้องสิทธิของชาวบ้านตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่มีจริง แต่ปรากฏว่า เมื่อชาวบ้านจึงลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรในบ้านเกิด กลับถูกกระทำจากเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุม ชาวบ้านบาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย วันนี้ ศาลพิพากษาให้รัฐจ่ายค่าเสียหายแก่ชาวบ้าน 24 คน รวม 100,000 บาท ซึ่งน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้สึกของชาวบ้านที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำร้าย แต่ไม่ได้ติดใจตรงจำนวนเงิน วันนี้ตนรู้สึกพอใจกับคำพิพากษาที่เห็นความสำคัญของประชาชน ทั้งนี้ ก่อนที่ชาวบ้านจะคัดค้านต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรในท้องถิ่นของตัวเองให้ปราศจากมลพิษ และสิ่งเป็นพิษทั้งหลาย ชาวบ้านได้ศึกษาหาข้อมูลข้อเท็จจริงแล้วว่า มีผลกระทบต่อวิถีชีวิต และการประกอบอาชีพจึงมารวมตัวกันเพื่อชุมนุมคัดค้านอย่างสงบ
      
       “
ตนคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐรู้ข้อกฎหมายดีกว่าประชาชนมาก แต่เหตุการณ์ในวันนั้นเจ้าหน้าที่รัฐไม่เคารพกฎหมาย ใช้ความรุนแรงกับชาวบ้าน เขารู้ว่าโดยหน้าที่เขาทำร้ายประชาชนไม่ได้ แต่เขาฮึกเหิมเนื่องจากเขาเห็นแก่นายทุน จึงมีการทำร้ายทุบตีชาวบ้าน และทำลายข้าวของ แม้แต่หม้อข้าวเขาถึงกับใช้เท้าเตะ เขาทำกับชาวบ้านเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ครอบครัวของตนถูกทุบตี และต้องหนีไปอยู่ในป่านานถึง 18 เดือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามล่าโดยตั้งข้อหาว่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวม 8 ข้อหา และวันนี้เราได้พลิกมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจนชนะคดีแล้ว
      
       
อยากฝากบอกกับพี่น้องชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ ว่า ถ้ามีนายทุนข้ามชาติเข้าไปในพื้นที่เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว โดยที่ชาวบ้านจะต้องเผชิญกับมลพิษ สิ่งเป็นพิษ และหายนะต่างๆ ชาวบ้านมีสิทธิเสรีภาพที่จะออกมาปกป้องทรัพยากรของตนเองได้ตามกฎหมายที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ พอมีโครงการใหญ่ระดับชาติเข้ามาทำลายทรัพยากรในท้องถิ่น เราก็ใช้กฎหมายข้อนี้ปกป้องทรัพยากรของเราเอง ประชาชนย่อมมีสิทธิกำหนดทิศทางการพัฒนาในท้องถิ่นของตัวเองนางสุไรด๊ะกล่าว
ข้อมูลจาก.. ASTV Manager ภาคใต้

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

ทหารเรือสงขลาจับกุมเรือประมงเวียดนามรุกล้ำน่านน้ำไทย




ทหารเรือทัพเรือภาคที่ 2 สงขลา จับกุมเรือประมงเวียดนามพร้อมลูกเรือ 9 คน ซึ่งเป็นเรือเบ็ดตกปลาหมึกหลังรุกล้ำทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย และจะประสานไปยังสถานทูตเพื่อผลักดันกลับประเทศต่อไป
      
       เมื่อคืนวันที่ 12 ม.ค.56  เรือหาญหักศัตรู ได้ควบคุมเรือประมงสัญชาติเวียดนามทะเบียน CM 91152 TH พร้อมลูกเรือ จำนวน 9 คน กลับเข้าฝั่งที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 หลังจากทำการจับกุมขณะรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย บริเวณทางตอนใต้ของเกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช และห่างจากเกาะกระ ประมาณ 30 ไมล์ทะเล โดยเรือประมงไทยที่ออกทำการประมงอยู่ในบริเวณดังกล่าววิทยุแจ้งเบาะแสเข้ามาให้ทราบ และทางทัพเรือภาคที่ 2 โดย พล.ร.ท.ชุมพล วงศ์เวคิน ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ได้สั่งการให้เรือหาญหักศัตรู ซึ่งทำการลาดตระเวนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้าทำการตรวจสอบ และจับกุม โดยพบเรือประมงสัญชาติเวียดนาม ชื่อ CM 91152 TH พร้อมลูกเรือ จำนวน 9 คน เป็นเรือเบ็ดตกปลาหมึกรุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำไทย
      
       หลังจากนั้นได้ควบคุมเรือ และลูกเรือทั้งหมดกลับเข้าฝั่งที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 โดยมี น.อ.โฆษิต เจียมศุภกิจ รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 2 ดำเนินการสอบสวนพร้อมล่ามทราบว่า เรือประมงลำดังกล่าวเป็นเรือเบ็ดตกปลาหมึกเดินทางมาจากเมืองกาเมา ประเทศเวียดนาม และทางทัพเรือภาคที่ 2 ได้ดูแลลูกเรือทั้งหมดเป็นอย่างดีตามหลักมนุษยธรรม โดยจัดหาอาหาร และน้ำดื่มมาให้กิน เนื่องจากลูกเรืออยู่ในสภาพที่อิดโรยจากการเดินทาง
      
       เบื้องต้น ได้ควบคุมตัวลูกเรือทั้งหมดดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงและการประกอบการเรือประมงไทย และจะประสานไปยังสถานทูตเวียดนาม ประจำประเทศไทย เพื่อผลักดันกลับประเทศต่อไป
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์